***** “ตัวรู้กับผู้ดู” *****
มีคำถามมามากหลาย และพยายามอธิบายคำว่าผู้รู้ ในความเห็นแห่งตนต่อข้า
ทั้งหมดที่เล่าๆกันมานั้น มันเป็นเรารู้เราดูกันทั้งนั้น มันเป็นอัตตาของเจ้าของที่เข้าไปรู้เห็นในอาการที่ตรึกตรอง
ผู้รู้นี่ไม่ใช่เรารู้นั่นรู้นี่ เรารู้นั่นรู้นี่ มันเป็นการปรุงแต่งแห่งนามจิตที่เข้าไปรู้
มันเป็นอัตตาตัวหนึ่งแห่งจิตสังขาร
มีน้องนักปฏิบัติหลายคน พยายามเล่าให้ข้าฟังว่าเขาเห็นตัวรู้
เขานั่งสมาธิแล้วเห็นอย่างนั้นอย่างนี้
ที่จริงตัวรู้นี่มันอาศัยสมาธินี่แหละเกิด สมาธิประเภทเพ่ง ทำให้เห็นตัวรู้ได้
สมาธิประเภทพิจารณานี่ เห็นตัวรู้ไม่ได้ นี่..มันเป็นของมันอย่างนี้
ตัวรู้นี่เป็นสมมุติตัวหนึ่งที่เราใช้เรียกชื่อสภาวะการเกิดปัญญาแยกสภาวะ กาย เวทนา จิต ไม่ใช่เรารู้ ด้วยการตรึกเข้าไปรู้
เวลาเราดูอะไรแล้วเกิดรู้ เช่นต้นไม้ ท้องฟ้า แม่น้ำ สายลม แสงแดด หรืออะไรก็ตาม
นี่..เรารู้ไม่ใช่ตัวรู้ในความหมายอะไรนั่น
ตัวรู้นี่ มันเป็นมรรคผลญานอย่างหนึ่ง ที่เกิดมาได้ ด้วยญานแห่งการเพ่งกายจนเกิดภาวะ แยกกายแยกจิต
มันเห็นชัดถึงกายอย่างหนึ่ง เวทนาอย่างหนึ่ง ผู้ดูอย่างหนึ่ง และผู้รู้อีกอย่างหนึ่ง
มันเป็นสภาวะแยกกายแยกจิตออกมาให้เกิดความประจักษ์แก่ใจเจ้าของ โดยไม่มีเจ้าของ
ทุกคนเกิดภาวะนี้ได้ แต่ปัญหาคือ เมื่อเกิดภาวะนี้ ปัญญาญานส่วนใหญ่แยกผู้ดูออกจากผู้รู้นี้ไม่ได้
สองตัวนี้เมื่อรวมกัน มันเป็นเรารู้เราเห็นเป็นอัตตาไปนู่นอีก
ผู้เกิดปัญญาญาน มันจะเห็นชัดว่า ผู้ดูนี่ มันไม่รู้อะไร มันเป็นเหมือนแสงไฟที่มีหน้าที่สาดส่งทุกสิ่งเฉยๆ
เมื่อสาดส่งออกไป มันจะมีผู้รู้สิ่งที่สาดส่ง ผู้รู้นี่ไม่ใช่ผู้ดูสิ่งที่สาดส่ง มันเป็นแค่รู้ว่าผู้ดูมันสาดส่องอะไร
มันแยกหน้าที่กันในการทำงาน และที่สำคัญที่ลึกไปกว่านั้น มันเป็นการปรุงแต่งขึ้นมาจากสังขารจิตด้วยกันทั้งคู่
สังขารจิตนี่ มันแยกออกไปด้วยญานตัวหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับผู้รู้และผู้ดู
แต่กำลังแห่งปัญญา มันจะแยกผู้รู้และผู้ดูแกะออกมาเป็นตัวๆให้เห็นจากสังขารจิตที่ปรุงแต่งขึ้นมาได้
ผู้เห็นสภาวะขั้นนี้ มันจะเห็น กายอย่างหนึ่ง เวทนาอย่างหนึ่ง ผู้ดูอย่างหนึ่ง ผู้รู้อย่างหนึ่ง
ทั้งหมดเป็นกองขันธ์ที่ต่างแยกกันทำหน้าที่ ที่เป็นแค่ทำงานในสิ่งเดียวกันก้อนเดียวกัน
โดยไม่มีใครรู้ว่ามันต่างเป็นองค์ประกอบซึ่งกันและกัน แต่แยกหน้าที่กันทำ
อาศัยสิ่งหนึ่งไปสู่สิ่งหนึ่งปรุงแต่งออกมาเป็นสมมุติอัตตา แล้วเหมารวมว่ามีตัวเราเข้าไปเป็น
เมื่อเกิดญานรู้ว่า แท้จริงมันไม่ได้เป็นสิ่งเดียวกัน การถอดถอนตัวตนอันเป็นตัวเราที่ยึดกันมาอย่างหนาแน่น นับนานเป็นอสงไขย
มันจึงคลายอุปาทานขึ้นมา ว่าสิ่งทั้งหลายที่มันเป็น ไม่มีเราเข้าไปเป็นเจ้าของเลยซักอย่าง
ผู้ดูก็ไม่ใช่เรา ผู้รู้ก็ไม่ใช่เรา กายก็ไม่ใช่เรา เวทนาทั้งหลายก็ไม่ใช่เรา
ที่หลงว่าเป็นเรา เพราะมันมีเราเข้าไปเป็นเจ้าของอาการที่มันร่วมปรุงขึ้นมา โดยไม่รู้ว่า มันแยกกันเป็นส่วนๆ ไม่ได้เป็นก้อนๆด้วยความเป็นเรา
ตัวรู้นี่ มันยังแยกหน้าที่มีแผนกผู้ดูด้วย ผู้ดูกับผู้รู้นี่มันแยกออกมาให้ประจักษ์ยาก ดูว่ามันเป็นตัวเดียวกัน
และเมื่อแยกออกมาประจักษ์ชัดเจนว่ามันเป็นคนละตัวกัน หากมีปัญญาญานที่สูงขึ้น
มันจะเห็นชัดอีกว่า ทั้งผู้ดูและผู้รู้นี่ มันเป็นผู้ถูกจิตสังขารปรุงแต่งรู้ขึ้นมาทั้งคู่
ผู้รู้เองก็เป็นผู้ถูกรู้ ผู้รู้เองก็ไม่มี ที่รู้มันรู้อย่างไม่รู้ไม่ชี้ ผลแห่งผู้รู้ทั้งหลาย
มันปรุงแต่งออกมาจากกองขันธ์โปรแกรมจิตสังขาร ที่ต้องเข้าไปตีให้แตกด้วยปัญญาญานอีกขั้นหนึ่งให้เกิดวิมุตติญานขึ้นมา
ผู้เข้าถึงมรรคญาน แห่งกายอย่างหนึ่ง เวทนาอย่างหนึ่ง ผู้รู้อย่างหนึ่ง ผู้ดูอย่างหนึ่ง
นี่เป็นขั้นปัญญาญานแห่งสมาธิ เกิดจากเจตนาแห่งจิต อาศัยการเพ่งกายเป็นเหตุ
ยังไม่ถึงขั้นเกิดปัญญาญานแห่งปัญญา
ขั้นปัญญาญานแห่งปัญญา เป็นการเข้าตีตัวอวิชาและกองเหตุแห่งเวทนาทั้งหมด ที่ปรุงแต่งออกมาจากจิต
ขั้นปัญญานี่ มันเกินความเป็นผู้รู้ผู้ดู แต่ผู้รู้และผู้ดูเป็นกองกำลังสำคัญส่วนหนึ่งในการพิจารณาต้อนสัญญาขันธ์
จนมันจนมุมแตกผลึกแห่งญานปัญญาออกมาจนประจักษ์แห่งความเป็นมรรคผล
การเกิดปัญญาญานที่ย้อนแทงตัวมันเองที่ปรุงแต่งขึ้นมาจนเกิดมรรคผล
ตรงนี้เรียกว่าการตีอวิชาแตก เมื่ออวิชาแตก สังขารปรุงแต่งแห่งจิตทั้งหลายก็พลันทะลายพังครืนลงมาอย่างราบเรียบ
ตรงนี้มันจะเห็นชัดขึ้นไปอีกว่า นอกจากกายอย่างหนึ่ง ผู้รู้อย่างหนึ่ง ผู้ดูอย่างหนึ่ง
แม้ในเวทนาทั้งหลายมันก็มีหลากหลายหน้าที่ประกอบปรุงแต่งเป็นเวทนาขึ้นมา
ในเวทนาเป็นกองกำลังแห่งโปรแกรมทั้งหลายที่ซ่อนตัวอวิชา รวมเป็นสังขารจิตมีวิญญานเป็นตัวรู้อยู่ในนั้น
รู้ทั้งหลาย มันอาศัยกระแสปรุงแต่งออกมาจากสังขารจิตตัวนี้
รู้นี้ เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งแห่งวงล้อปฏิจจสมุปบาท เมื่อกาลครบเป็นวัฏฏะ เกิดสัญญา ที่ย้อมกระทบกันซ้ำๆขึ้นมา
มันเป็นสัญญาปรุงแต่งจากเจตนาที่เรียกว่าสังขาร สร้างเป็นนามรูปของตัวรู้ขึ้นมา
และตัวรู้นี้ มันแผ่ลูกหลานออกมา ซ่อนตัวในวิญญาน ขยายกองกำลังเข้าไปในรูปนาม
มีแผนกแยกออกไปสู่อายตนะในแต่ละช่องทางเข้า อาศัยการผัสสะปรุงแต่งที่เรียกว่าเจตสิกแห่งนามขันธ์
ออกมาเป็นเวทนา เกิดตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ด้วยสมมุติแห่งความเป็นเราโดยการปรุงแต่งจิต
จิตที่ปรุงแต่งแสดงออกมาเป็นเวทนา
เวทนาปรุงแต่งจากกายที่กระทบมาทางช่องต่อที่เรียกว่าอายตนะ
ผลกระทบเรียกว่าผัสสะ ผลผัสสะก็จะเกิดการปรุงแต่งเป็นเวทนา
ผลแห่งเวทนาก็จะเกิดการปรุงแต่งเป็นตัณหา ผลตัณหาก็ปรุงแต่งเป็นอุปาทาน
อุปาทานเป็นตัวปรุงแต่งภพ ภพที่ปรุงแต่งจะทำให้เกิดสมมุติอัตตาที่มีเราเข้าไปเป็นเจ้าของ ทุกสรรพสิ่ง
นี่..ตัวรู้ตัวเดียว มันมีรู้นอกรู้ในรู้สารพัดที่ซึมแทรกแยกย่อยกันไป
รู้นี่มันกว้างใหญ่เกินกว่าใจใครๆที่จะมานั่งแต่งคำอธิบายให้ใครๆทั้งหลายได้รู้
รู้ทั้งหลายเกิดจากความไม่รู้ทั้งสิ้น
สิ่งที่ไม่รู้ เมื่อเกิดรู้ขึ้นมา รู้นี้ก็เป็นแค่อวิชาที่มันไม่รู้ว่าอวิชามันคืออะไร..
คุยกันหนุกๆยามเช้า ณ.กรุงเทพ ท่ามกลางเสียงเจ๊ยวจ้าวของสาวๆรุ่นป้าที่กำลังทำอาหาร
หวัดดีขอให้มีความสุขกันทุกท่าน ฟังแล้วชักปวดในตัวรู้ใช่ไหม..!!
พระธรรมเทศนา ณ วันที่ 19 มกราคม 2560 โดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง